เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาธรรมชาติ เห็นไหม น้ำท่วม ฝนตกน้ำท่วม ฝนแล้งมันแห้งแล้ง ธรรมชาติเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วคนสมัยโบราณ สมัยพุทธกาล คนเราวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ ฟ้าผ่า ดวงอาทิตย์ ภูเขา ไปตื่นเต้นกับสิ่งนั้นไง ไปหาที่พึ่งที่อาศัยกับสิ่งนั้น สภาวธรรมชาติ เพราะไม่เข้าใจตามความเป็นจริง
แต่เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์เจริญมาก เราจะรู้เลยว่ากฎธรรมชาติสภาวะของธรรมชาติเป็นแบบนั้น เราถึงไม่ตื่นกลัวไปแบบนั้น แต่เวลาอุกกาบาตจะมาชนโลกเราก็ตื่นกลัวของเราเหมือนกัน ความตื่นกลัวของใจมันจะมีอยู่ตลอดไป สภาวธรรมชาติเรารู้ตามความจริงเป็นสภาวธรรมชาติ
สภาวธรรมชาติของใจ ใจก็เป็นสภาวธรรมชาติอันหนึ่ง สิ่งที่เป็นสภาวธรรมชาติอันหนึ่งมันลึกลับกว่า เพราะสภาวธรรมชาติเราเห็นด้วยตา เราสัมผัสด้วยความรู้สึกของเรา สภาวธรรมชาติเป็นอย่างนั้น นักวิทยาศาสตร์พยายามจะคิดนะ คิดค้นต่างๆ การก่อสร้างต่างๆ จะให้มันมั่นคงถาวร แต่เวลาเกิดวาตภัยเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นไป มันก็ต้องเป็นไปตามสภาวะของเขา ถ้ามันทนได้มันก็ทนได้ ทนไม่ได้มันก็ต้องแปรสภาพไป สิ่งนั้นมันเป็นกฎ เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย โลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งโลกนี้แปรสภาพไปตลอดเวลา สภาวธรรมชาติเกาะเกี่ยวพึ่งพาอาศัยกันเพื่อซับสมไป สิ่งนั้นทำให้เกิดสภาวะของใจ ใจนี้เกิดขึ้นมาจากสัตว์ สัตว์โลก ดูสิ ดูอย่างการประมงสิ สัตว์โลกเขาออกเป็นกี่ล้านกี่แสนล้านๆ ตัว นั่นนะชีวิตของสัตว์ก็เป็นสภาวะแบบนั้น
แต่ชีวิตของคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นคน ตรัสรู้ขึ้นมาด้วยสภาวะของความเป็นคน แต่ความเป็นคนท่านสร้างสมบารมีมามหาศาล การสร้างสมบารมีมหาศาลคือการสละออก การเปิดใจให้กว้าง ถ้าเปิดใจให้กว้างขนาดไหน ความศึกษาของใจ ใจกว้างขนาดไหนใจจะรับรู้สิ่งต่างๆ ออกไป ความรับรู้สิ่งต่างๆ การสะสมมาแต่ละภพแต่ละชาตินั้น คือการสะสมให้ใจดวงนั้นตื้นขึ้นมา สิ่งที่ตื้นขึ้นมาให้เห็นสภาวธรรมชาติของใจไง
เราไม่เข้าใจสภาวธรรมชาติของใจ เราถึงว่าเกิดมาแล้วก็ชาติหนึ่ง เสร็จแล้วเราตายไปแล้วมันก็ไม่มีสิ่งใด ถ้าไม่มีสิ่งใดไปทำไมคนเราจริตนิสัยไม่เหมือนกัน ความคิดของคนไม่เหมือนกัน สิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน เวียนไปตามแต่วัฏฏะ สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากพรหม จากเทวดา ตายแล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ เขามีอำนาจของเขา เขามีศักยภาพของใจของเขา เขามีสิ่งนั้น ถ้าใช้ในทางที่ถูกเขาจะเป็นสิ่งที่เป็นคุณงามความดีมาก
ถ้าใช้ในทางที่ผิด นี่ถ้าศักยภาพนั้นมาใช้ในทางที่ผิดล่ะ ศักยภาพนั้นใช้ทางที่ผิดเพราะธรรมชาติของใจคือกิเลสส่วนหนึ่งมันอยู่ในใจนั้น ธรรมชาติสิ่งนั้นมีการขับเคลื่อนไป สิ่งต่างๆ เห็นไหม ไฟ ไฟจะมีประโยชน์มากถ้าเราใช้ในทางที่ถูกต้อง แต่ไฟเวลาเผาผลาญบ้านเรือนเวลาไฟไหม้นี่ มันเผาเมืองทั้งเมือง เผาป่าทั้งป่าวอดวายไปหมดเลย เพราะควบคุมสิ่งนั้นไม่ได้
ธรรมชาติของกิเลสก็เหมือนกัน ถ้าเราเปลี่ยนจากความเห็นของมันเป็นมรรค สิ่งที่ว่าความเป็นมรรคคือการค้นคว้าการหาทางออก ถ้าจิตนี้หาทางออกได้ ธรรมชาติของใจจะเกิดสภาวะแบบนั้น สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะเหตุนั้นเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ธรรมชาติอันนี้มันควบคุมได้ด้วยความดำริชอบ ด้วยสติ ด้วยสมาธิ ถ้ามีสติมีสมาธิย้อนกลับเข้ามาแล้วจะควบคุมธรรมชาติอันนี้ แล้วเอาธรรมชาติอันนี้ก้าวเดินเข้าไปในหัวใจของเรา ก้าวเดินเข้าไปในใจของเราเพราะใจนี้มันไม่เคยตาย
สภาวธรรมชาติที่เป็นวัตถุนี้แปรสภาพตลอดไป แล้วมันเจริญรุ่งเรือง มันเสื่อมสภาพไปแล้วแต่กาลเวลาของแต่ละยุคสมัย ยุคสมัยหนึ่งการเจริญและการเสื่อมไปมันเป็นสมัยของสมัยสิ่งสมัยไป แล้วกรรมสภาวะของกรรมทำให้คนไปเกิดในสภาวะความเจริญรุ่งเรืองของสมัยนั้น นั่นคนมีบุญ คนที่มีบาปอยู่นะ มันก็ไปเกิดในสภาวะที่ว่าตกต่ำ สิ่งที่ตกต่ำนั้นนั่นนะสภาวธรรมไปเกิดมันสภาวะกรรมด้วย กรรมอันหนึ่งเป็นสภาวธรรมชาติของใจ
แต่ความเสื่อมความเจริญของโลก เป็นสภาวะของโลกของธรรมชาติภายนอก ธรรมชาติของวัตถุเป็นส่วนหนึ่ง ธรรมชาติของใจเป็นส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่เป็นวัตถุนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต มันแปรสภาพไป มันถึงว่าเป็นสภาพตามแต่วัฏฏะอย่างนั้น แต่ผู้ที่รับรู้ คือหัวใจ หัวใจรับรู้สภาวธรรมชาติอันนั้นอันหนึ่ง แล้วหัวใจรับรู้ธรรมชาติอันความเป็นจริงคือร่างกายอันหนึ่ง
ความสภาวะเป็นร่างกายเวลาเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาแล้วเราได้ร่างกายของมนุษย์ขึ้นมานี่มันเจริญเติบโตขึ้นมา แล้วมันเสื่อมสภาพไป เราก็ปล่อยๆ ไป ปล่อยไปตามธรรมชาติว่าสิ่งนี้ควบคุมไม่ได้ เพราะวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าเซลต่างๆ มันเกิดขึ้นมา มันเจริญงอกงามขึ้นมาแล้วมันต้องแก่ตัวไป มันต้องทำลายตัวมันเอง ถึงที่สุดมันต้องเป็นธรรมชาติอย่างนั้น นั้นวิทยาศาสตร์พิจารณาอย่างนั้น แต่ไม่เห็นตามความเป็นจริง
ถ้าเห็นตามความเป็นจริงสภาวะของธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าพยายามทำใจให้สงบเข้ามา ให้เห็นสภาวะตามความเป็นจริงของไม่มีความไม่เป็นมิติ สิ่งที่ไม่เป็นมิติมันเป็นสมบัติกลาง สมบัติกลาง ทำไมเทวดา ทำไมอินทร์พรหมมาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมตรัสรู้ ทำไมสิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ เพราะอะไร เพราะเขาก็ทำดูธรรมชาติของใจ
ธรรมชาติของใจรับรู้ ธรรมชาติของกายมีความสุขอยู่ เป็นเทวดาก็จริงอยู่ เป็นพรหมก็จริงอยู่มีความสุขอยู่อย่างนั้น ความสุขของเขาแต่มันเป็นอนิจจัง มันหมดวาระของมัน สิ่งที่หมดวาระมันต้องแปรสภาพไป สิ่งที่พลัดพรากมันเป็นทุกข์ทั้งหมด ถึงจะมีความสุขส่วนหนึ่ง สุขที่ว่าเราอยู่ในสภาวะแบบนั้นมีความสุข แต่เวลาถึงที่สุดแล้วนี่ความสุขนั้นไม่คงที่ มันแปรสภาพ มันต้องเปลี่ยนไปมันเป็นกฎอนิจจัง มันต้องหมุนไปตามแต่วาระของเขา กาลเวลาของเขา การพลัดพรากอันนั้นก็เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นทุกข์อันละเอียดจะสุขขนาดไหนมันก็มีทุกข์เจือไปตลอด
ความสุขเกิดขึ้นมาจากสถานะที่เราสร้างบุญกุศล สิ่งที่บุญกุศลมีความสุข และความสุขอันนี้เราเกิดขึ้นมามีความสุข ไม่เหมือนกับคนทุกข์คนยาก คนทุกข์คนยากคนทุกข์คนเข็ญใจขนาดไหน แต่สภาวะของธรรมเสมอกัน สิ่งที่มีหัวใจ สิ่งที่หัวใจสัมผัสความรับรู้สึกต่างๆ สิ่งที่ความรู้สึกอันนี้ย้อนกลับมาได้ อันนี้มรรคจิตเกิดตรงนี้ไง มรรคจิตคือมรรคของจิต จิตที่เป็นมรรคเป็นโลกุตตระ สิ่งที่เป็นโลกุตตระจะเกิดขึ้นมาจากสภาวะของใจ ใจเกิดขึ้นมาแล้วดูสภาวะอย่างนี้มันเป็นธรรมชาติส่งออก สิ่งที่ส่งออกรับรู้ต่างๆ จะรู้ชาติ รู้ความเกิด รู้อดีตชาติ รู้ความเกิดต่างๆ รู้ขนาดไหนมันส่งออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ
เปลือกของผลไม้ ถ้าเปลือกของผลไม้ เรากินเปลือกของผลไม้ไม่ได้หรอก เราต้องกินเนื้อของผลไม้ แต่เปลือกผลไม้รักษาผลไม้นี้ไว้ อาการของขันธ์ อาการของความรู้สึกรักษาตัวใจของใจไว้ ใจไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่ใจ สิ่งอันนี้อาศัยเกี่ยวเนื่องกันมา ขันธ์นี้ยึดมั่นถือมั่นถึงเกิดเป็นอารมณ์ สิ่งที่เป็นอารมณ์เป็นเปลือกของผลไม้ แล้วเราก็เสวยกันแต่เปลือกของผลไม้ เราว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง โลกียะเป็นแบบนั้น มันส่งออกมารับรู้สิ่งนี้แล้วก็ย้อนออกไปข้างนอก เป็นเรื่องของวัฏฏะเป็นเรื่องของธรรมชาติอันหนึ่ง
ธรรมชาติของจิตเกิดดับตลอดเวลา แต่การเกิดดับนี้เราก็อยู่กับมันโดยความรู้สึก ความคิดเกิดขึ้นมันมาจากไหน ความทุกข์เกิดขึ้นมาจากไหน ความสุขเกิดขึ้นเกิดจากความพอใจของใจ ใจพอใจ เราซื้อสิ่งต่างๆ อามิสเราซื้อสิ่งของแสวงหาสิ่งต่างๆ ถ้าสมใจมันๆ จะมีความสุขชั่วคราว ความสุขเพราะเราสนองตัณหา ตัณหาความทะยานอยากไม่มีวันพอ เราสนองตัณหาขนาดไหน มันจะเพิ่มมากขึ้น ความต้องการจะเพิ่มมากขึ้น ถ้าความต้องการเพิ่มมากขึ้น แล้วถ้าคนมีบุญนะ สิ่งนั้นหามาได้เงินทองนี้มากมายมหาศาล แต่หัวใจก็ทุกข์ เพราะว่าสิ่งนี้มันสนองตัณหา มันไม่มีวันพอไง แสวงหาทั้งโลกมันก็ไม่มีวันพอ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกต้องพยายามชักออก ต้องทำความสงบของใจ ถ้าใจสงบเข้ามามันย้อนกลับมา สิ่งนี้เป็นปัจจัย ปัจจัย ๔ ขาดไม่ได้ มนุษย์เราเกิดมาต้องใช้ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ นี้เครื่องอาศัย หามาขนาดไหนเราก็ใช้แค่อิ่มเดียว คนจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนก็แค่อิ่มเดียว การใช้จ่ายก็แค่กับร่างกายนี้พอความเป็นไป แต่มันต้องการสิ่งที่ว่ามันมีให้ค่าไง ถ้าเราให้ค่าสิ่งใดสิ่งนั้นก็มีประโยชน์ สิ่งนั้นก็เป็นความพอใจ สิ่งนั้นเป็นความแสวงหา แล้วพยายามแสวงหาสิ่งนั้นขึ้นมา มันเป็นความทุกข์ๆ คือแสวงหา
เวลาพระบวชขึ้นมา เวลาฉันข้าวฉันวันละมื้อเดียว ฉันเพื่อดำรงธาตุขันธ์ แต่โลกกินเพื่อกาม กินเพื่อเกียรติ เกียรตินี้มันต้องพยายามส่งเสริมมาก แล้วกินเพื่อดำรงชีวิต เขากินบำรุงบำเรอใจถึง ๓ ประการ แต่ผู้ที่เห็นภัยกินเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้เพื่อพยายามย้อนกลับเข้ามาให้เห็นธรรมชาติของจิต ถ้าเห็นธรรมชาติของจิต นี่พ้นทุกข์ได้ จะพ้นทุกข์ได้เมื่อจิตมันเข้าใจตามสภาวะความเป็นจริง
สิ่งที่เป็นธรรมชาติเราจะพึ่งพาอาศัยเราจะควบคุมมัน จะต้องตายเปล่า ถ้าเราจะควบคุมธรรมชาติ เวลาเกิดขึ้นมานี่มันซ้ำซากนะ น้ำท่วมแล้วท่วมอีกทุกปี ถ้าน้ำท่วม ท่วมซ้ำท่วมซากมีแต่ความทุกข์เร่าร้อน มันจะเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเอาชนะมันไม่ได้ ถ้าปีไหนน้ำไม่มีมันแห้งแล้งก็ต้องการสิ่งนั้นมา มันเวียนไปนะ เวลาดูซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้นสภาวธรรม แล้วมันก็มีความเสื่อมความเจริญของมันตามสภาวะแบบนั้น ไม่มีวันชนะมันได้ สภาวธรรมชาติต้องเป็นแบบนั้นตลอดไป
แต่หัวใจนี้เอาชนะมันได้ ถึงที่สุดถ้าทำนี่ ถ้ามรรคจิตเกิดขึ้นมามันจะย้อนกลับเข้ามาทำลายสิ่งที่ว่าตัณหาความทะยานอยาก ทำลายสิ่งนั้นทั้งหมด ธรรมชาติอันนี้เหนือธรรม สภาวธรรมชาติเรารู้สภาวธรรมชาติอันหนึ่ง แล้วเราก็ต้องเกี่ยวเนื่องอาศัยกันไป แต่สภาวธรรมอันนี้เวลามันทำลายกันแล้ว ปัจจยาการ ไอสไตน์เขาบอกว่า ปรมาณูเวลามันระเบิดๆ ขึ้นมาได้อย่างไร เขารู้ว่าทฤษฏีปฏิสัมพันธ์ของเขา มันสัมพันธ์กันไป แต่ถึงจุดระเบิดแล้วมันระเบิดอย่างไร นักวิทยาศาสตร์เขาไม่เข้าใจสภาวะแบบนั้น สภาวะที่จุดมันระเบิด อันนี้เป็นทฤษฏีเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องนิวเคลียร์ เป็นเรื่องของทฤษฏีสัมพันธ์
แต่ธรรมชาติของจิตมันสภาวะแบบนั้น แต่มันมีธาตุรู้ มันมีความรู้สึกภายใน ทฤษฏีสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ แล้วมันย้อนกลับเข้าไป มรรคจิตเกิดขึ้นมาแล้วมันทำลายตัวมันเอง นิพพาน ๑ เหนือธรรมชาติทั้งหมด วางกฎสิ่งธรรมชาติไว้ทั้งหมด ใจรู้ทั้งหมดแล้วไม่มี ความเกาะเกี่ยวสิ่งนั้นเข้าถึงไม่ได้ มันเป็นความมหัศจรรย์ไง สิ่งที่มหัศจรรย์นี่ธรรมชาติ ธรรมชาติของสภาวะเป็นไป เราอาศัยเราเกื้อกูลกัน จะว่าไม่เป็นประโยชน์มันเป็นประโยชน์ในสถานะถึงว่าเราดำรงชีวิตตามสภาวะที่เจอ แต่มันไม่เป็นสิ่งที่ว่าเป็นความจริง มันแปรสภาพ มันเคลื่อนไหวไปตลอดเวลา
แต่ถ้าเป็นสภาวธรรมความเป็นจริง จบสิ้นกระบวนการจะไม่ต้องเกิดต้องตาย แล้วรู้อยู่ในตัวเองนะ ถ้าสิ่งนั้นไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสดงธรรม สิ่งที่แสดงธรรมออกมาจากไหน ออกมาจากใจดวงที่ว่าไม่มีนั่นไง ไม่มีแล้วเอาอะไรแสดงออกมา เอาสภาวะขันธ์ที่มันอยู่แสดงออกมา สมมุติยังมีอยู่แสดงออกมา เวลาหลวงปู่มั่นตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ เห็นธรรมขึ้นมานี่ พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสาธุการ หลวงปู่มั่นก็งงเพราะเริ่มใหม่ๆ มาได้อย่างไร พระอรหันต์มันต้องไม่มี พระอรหันต์ต้องสิ้นไป สูญสิ้นในความรู้สึกของเรา เพราะความคิดของเราเป็นความคิดโลก สิ่งที่สูญสิ้นคือความไม่มี นี่สภาวะของกิเลส สภาวะแบบธรรมธรรมชาติต้องมีสสารต้องจับต้องได้
แต่สภาวธรรมตามความเป็นจริงมันสูญสิ้น สูญสิ้นสมมุติไง แต่วิมุติมันมีอันนั้น แล้วสื่อความหมายออกมา มโนสัญเจตนาหาร อาหารของสิ่งที่ว่าสัมผัสโดยประตูผ่านมาโดยมโน สิ่งที่มโน มนสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ แม้แต่มโน แม้แต่ภวาสวะ แม้แต่ภพของใจ ยังต้องทำลายมัน มนสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ หมายถึงเบื่อหน่ายในสภาวะของใจนั้น แล้วทำลายใจนั้นรวมไปหมด แต่เวลา เห็นไหม มโนสัญเจตนาหาร สิ่งนี้มันเป็นช่องทางๆ สื่อออกมาจากสิ่งที่เป็นวิมุติ ผ่านตรงนี้เข้ามามันสื่อเป็นสมมุติ สื่อมาสาธุการกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่หมุนเวียนอยู่ มันมีอยู่ มันสื่อกันได้ สื่อกันได้เหมือนใจที่สูงส่งที่สื่อกันได้
จะสื่อกันไม่ได้แบบพวกเรา พวกเราจิตปกติจิตของปุถุชน แล้วเราก็เรียกร้องนะ ถ้าไม่เห็นเราจะไม่เชื่อ ถ้าไม่พบสิ่งนั้นเราจะไม่ต้องการ กิเลสมันเบียดเบียนตัวเอง มันเบียดเบียนให้เราไม่เชื่อมั่น ให้เราไม่เชื่อเรื่องธรรม ให้เราไม่เชื่อแล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลาน เราต่างหากผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินี้เป็นยอดของคน เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มหัศจรรย์มาก ค้นคว้าในห้องทดลองในกายหนาคืบกว้างศอกนี้ สิ่งนี้มันมีหัวใจอยู่ ค้นคว้าสิ่งนี้ นักวิทยาศาสตร์นี้จะเป็นผู้ที่ชนะธรรมชาติทั้งหมด
นักวิทยาศาสตร์ที่วิเคราะห์วิจัยในห้องวิทยาศาสตร์ เขาจะต้องเป็นสัตว์โลก เขาจะต้องเกิดต้องตาย ถ้าเขายังยึดมั่นถือมั่นเขาก็ต้องเกิดซ้ำมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับโตเทยยพราหมณ์ติดสภาวะของเงินสะสมไว้ ซ่อนสมเงินไว้ เสร็จแล้วเวลาเกิดขึ้นมาก็เป็นสุนัขมาเฝ้ากองเงินกองทองนั้น เพราะมันข้องใจกับสิ่งนั้น
นี้ก็เหมือนกัน การเกิดซับเกิดซ้อนขึ้นมานั่นนะจิตมันตกผลึกมาในหัวใจ การคิดค้นของเขามันก็เป็นคิดค้นของเขา นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของโลก มันก็เกาะเกี่ยวกับโลก นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นตัวเอง ขุดค้นใจของตัวเอง นักวิทยาศาสตร์นี้จะพ้นออกไปจากโลก แล้วจะต้องมีธรรมชาติในใจอันสมบูรณ์นั้น เอวัง